UNHCR ชื่นชมรัฐบาลไทยที่มีมติอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยที่พำนักในประเทศไทยเป็นเวลานาน ได้รับสิทธิในการทำงานอย่างถูกกฎหมายในประเทศ

เจนีวา – สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) แถลงชื่นชมรัฐบาลไทยที่มีมติอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยจากเมียนมา (ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา) ที่พำนักในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน ได้รับสิทธิในการทำงานอย่างถูกกฎหมายในประเทศ

มาตรการนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่สำคัญ เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์การพลัดถิ่นที่ยืดเยื้อของประชาชนราว 81,000 คน ซึ่งพักพิงอยู่ตามพื้นที่พักพิงชั่วคราวฯ ตลอดแนวชายแดนไทย - เมียนมา โดยที่ผ่านมา ผู้ลี้ภัยจำนวนมากต้องอยู่อย่างพึ่งพาความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมมาโดยตลอด ทั้งนี้ ร้อยละ 47 ของประชากรในพื้นที่พักพิงชั่วคราวฯ เกิดและเติบโตในค่ายเหล่านี้

“เป็นเวลานานเกินไปที่ชีวิตในความพลัดถิ่นดูเหมือนการรอคอยที่ไม่มีวันสิ้นสุด” แทมมี่ ชาร์ป ผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย กล่าว “วันนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญการปรับนโยบายครั้งนี้ทำให้การให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยของไทย กลายเป็นแรงขับเคลื่อนเพื่อการเติบโตทั้งสำหรับผู้ลี้ภัย ชุมชนท้องถิ่น และประเทศโดยรวม”

“ด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้ลี้ภัยได้ใช้ศักยภาพของตนเอง ไทยไม่เพียงแต่ยึดมั่นในหลักการด้านมนุษยธรรม แต่ยังเป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์เพื่ออนาคตของประเทศ” ชาร์ป กล่าวเสริม “ผู้ลี้ภัยจะสามารถเลี้ยงดูครอบครัวตนเอง กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการบริโภค และสร้างงานใหม่ ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของ GDP และเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจของประเทศ”

มตินี้มีความสำคัญเป็นพิเศษในช่วงเวลาที่ทั่วโลก ผู้พลัดถิ่นนับล้านกำลังเสี่ยงที่จะสูญเสียความช่วยเหลือที่จำเป็นต่อการมีชีวิตรอด เนื่องจากวิกฤตการตัดลดงบประมาณด้านมนุษยธรรมอย่างหนัก

อาศัยบนรากฐานประวัติศาสตร์กว่า 50 ปีที่ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัย นโยบายใหม่นี้ หากสามารถดำเนินการได้อย่างเต็มรูปแบบ จะเป็นมาตรฐานใหม่ของภูมิภาคในการสร้างแนวทางแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยที่ยั่งยืนและเคารพสิทธิมนุษยชน ซึ่งอาจกลายเป็นต้นแบบให้แก่ประเทศอื่นที่เผชิญความท้าทายลักษณะเดียวกัน

แม้นโยบายดังกล่าวจะครอบคลุมเพียงผู้ลี้ภัยกลุ่มจำกัดในประเทศ แต่ UNHCR ยังคงเรียกร้องให้มีการขยายสิทธิครอบคลุมถึงผู้ลี้ภัยทุกคน

UNHCR พร้อมที่จะสนับสนุนรัฐบาลไทยในการดำเนินนโยบายนี้ ผ่านความร่วมมือด้านการพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์ ร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลากหลายกลุ่มที่มีความเชี่ยวชาญทั้งด้านการพัฒนาและการคุ้มครองผู้ลี้ภัย